พูดคุยกับแพทย์อย่างเป็นส่วนตัว ผ่านแอพ Chiiwii
Guest
ปี2557 พบว่าเป็นก้อนที่เยื่อหุ้มสมอง ไม่ใช่เนื้อร้ายค่ะและได้รักษาด้วยการฉายแสง ตอนนี้ก้อนไม่ได้โตขึ้น ทำCTดูมา2ปีแล้วค่ะ อยากรบกวนถามคุณหมอว่าจะทำการรักษาอะไรได้อีกบ้าง และจำเป็นมั๊ยคะ ,ถ้าก้อนไม่โตขึ้น อาการทั่วไปปกติดี ไม่ทำอะไรต่อได้มั๊ย นอกจากทำCTดูก้อนทุกปี. ขอบคุณมากค่ะ
นพ.สุบรรณ
เนื้องอกของเยื่อหุ้มสมอง ส่วนใหญ่จะเป็น meningioma
1. แนวทางการรักษา มีแบ่งคร่าวๆ 2 แนวทางครับ คือ
1. รักษาด้วยวิธีผ่าตัด(surgical therapy) จะไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี่ครับ
2. รักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด(Nonsurgical therapy) ส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีนี้รักษาในรายที่เนื้องอกอยู่ในตำแหน่งที่ลึก ห่อหุ้มเส้นเลือดเส้นประสาทที่สำคัญและเส้นนั้นใช้งานได้ หรือรายที่เนื้องอกกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัด หรือรายที่ผ่าตัดแล้วไม่สามารถตัดได้หมด วิธีการรักษาแบบนี้ปัจจุบันจะใช้วิธีการทางรังสีรักษา หรือฉายแสงดังที่คนไข้ถามมาครับ
2.ปัจจุบันมีการพยายามทดลองให้ยา ให้Hormones มาช่วยรักษาเนื้องอกเหล่านี้ แต่ผลการรักษายังไม่ดีเท่ากับผ่าตัด และ/หรือฉายแสงครับ
3.ถ้าก้อนไม่โตขึ้น อาการทั่วไปปกติดี ส่วนใหญ่จะแนะนำให้คนไข้ดำเนินชีวิตตามปกติครับ แพทย์ผู้ดูแลก็ทำได้แค่แนะนำแล้วก็เฝ้าติดตามอาการ และ ถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย ไม่ว่าจะ CT หรือ MRI เพื่อติดตามขนาดของเนื้องอกครับ สำหรับเคสที่ผมดูแล ล่าสุดก็มีนัด CT 2-3 ปี ครั้งนึงครับ ไม่ได้บังคับว่าต้องทำทุกปี ทั้งนี้ก็ต้องให้ความรู้คนไข้ในการสังเกตุอาการของตนเองครับ เช่นถ้าก้อนโตขึ้นตรงไหน น่าจะมีอาการผิดปกติอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง ครับ
Read more comments...
รบกวนขอสอบถาม ยายเส้นเลือดในสมองแตก คุณหมอทำการผ่าตัดให้ มีการใส่สายให้เลือดไหลออกจากสมอง ยายสามารถ ขยับซีกซ้ายได้ทั้งแขนและขา เวลาพูดอะไรไป ยายรับรู้และเข้าใจ ผ่านมา2-3วัน มีไข้ขึ้นสูง มันจะมีผลกระทบอะไรกับคนไข้ไหมค่ะ ยายจะปลอดภัยไหมค่ะ ตอนนี้ยังนอนอยุ่I C U
พญ.กฤติกา
ไข้หลังผ่าตัดโดยปกติมักเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจเป็นตรงตำแหน่งที่ผ่าตัดหรือตำแหน่งอื่นเช่นปอดก็ได้ค่ะ ซึ่งความรุนแรงก็ขึ้นกับเชื้อชนิดนั้นๆ ถ้าไม่ใช่เชื้อร้ายแรงหรือเชื้อดื้อยาก็ไม่น่าจะมีปัญหาค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ทุกท่าน คุณแม่ของดิฉันอายุ 60 ปี ประจำเดือนหมดมาเกือบ 10 ปีแล้ว คุณแม่มีความดันจากพันธุกรรม ไม่มีเบาหวาน ตรวจสุขภาพทุกปี สุขภาพแข็งแรง และออกกำลังกายด้วยการเดินทุกวัน คุณแม่มีอาการเป็นตะคริวที่ขา (ช่วงน่องลงไป) บ่อยมาก ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยมากมักเป็นช่วงกลางคืนหลังเข้านอน แต่ในช่วงที่ผ่านมา เป็นบ่อยขึ้น โดยเป็นเวลาอื่นด้วย จึงสงสัยว่า เป็นเพราะอะไร เคยปรึกษาคุณหมอ แต่ได้รับยาวิตามินมาทานเพิ่ม โดยยาที่คุณแม่รับประทานในปัจจุบัน มี -Ambes 5mg -Prenolol 50 mg -FOLIC -B cozy ก่อนนอน -Simvastatin 25 mg จึงรบกวนสอบถามอาจารย์ว่า (1) อาการตะคริวตามปกติ เกิดจากอะไร ดิฉันเคยเปิดหาพบว่าเกิดจากการขาดสารอาหาร แต่ดิฉันก็โด้ปคุณแม่เต็มที่ ให้ทานอาหารครบ 5 หมู่ (2) มีกลุ่มโรคใดบ้างที่ข้อบ่งชี้ของโรคคืออาการตะคริว และ (3) ควรให้คุณแม่ไปตรวจเพิ่มเติมที่แผนกไหนดี เพื่อจะได้ตรวจหาสาเหตุและแก้ไขได้โดยเร็ว ต้องขอรบกวนอาจารย์ทุกท่านด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ
1. ตะคริว หมายถึง อาการเกร็งตัวหรือหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ทำให้มีอาการปวดและอาจเป็นก้อนแข็ง สามารถเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อลายมัดใดก็ได้ทั่วร่างกาย แต่มักเป็นบ่อยสุดที่น่องค่ะ ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่แท้จริงของการเกิดตะคริว แต่จากการศึกษาเชื่อว่าอาจเกิดจากการที่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อไม่ได้รับการยืดตัวบ่อยๆ จึงทำให้มีการหดเกร็งได้ง่ายเมื่อมีการใช้กล้ามเนื้อส่วนนั้นมากเกินไป นอกจากนั้นยังเชื่อว่าอาจเกิดจากเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติไป หรืออาจเกิดจากการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีก็อาจเป็นได้ค่ะ
2. ตะคริวส่วนมากไม่เจอสาเหตุแน่ชัด แต่มักเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไปหรือไม่ถูกวิถี ส่วนที่พอจะพบสาเหตุอื่นๆก็เช่น การดื่มน้ำน้อย การดื่มแอลกอฮอล์ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมัน ยาลดความดันบางชนิด) รากประสาทสันหลังถูกกดทับ เส้นเลือดส่วนปลายตีบ/อุดตัน นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นโรคบางอย่าง เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ พาร์คินสัน โลหิตจาง เป็นต้น
Nubambam063
อยากทราบว่า อาการที่ เป็นนั้น มีความเสี่ยงต่อโรค เส้นประสาทอักเสบหรือไม่และการคือ ชา บริเวณใบหน้า และศีรษะ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเอว เจ็บ แปลบแปลบ บริเวณฝ่ามือ บางที ก็มีอาการแสบร้อน บางที ก็มีอาการเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต หรือที่เรียกคล้ายกันว่าไฟฟ้าสถิต บางทีอาการหนักมาก ปวดหัว ปวดตา ชาบริเวณบริเวณใบหน้า เกรง ขนลุกซู่ ทั้งตัว ตั้งแต่ช่วงล่าง ขาขึ้นมาถึงหัว ปวดบริเวณ ข้อมือ นิ้วมือ ดวงตา เกร็งที่บริเวณปาก อาการหนาวหนาวร้อนร้อน เป็นบางช่วง ช่วงหลังมา เริ่มเป็นหนักขึ้น เหมือนมีไฟฟ้าวิ่งทั่วร่างกาย แสบและเจ็บบริเวณฝ่ามือ แปบ แปบ แล้วก็เหมือนหมดสติลงไปเหมือนอาการคนเป็นลม แต่บอกก่อนนะคะ ดิฉัน น้ำหนักเกินมาตรฐาน คือค่อนข้างอ้วนค่ะมากน้ำหนักร้อยกิโลขึ้น ส่วนสูง 180 ขึ้น อาการแบบนี้เป็นเพราะโรคเส้นประสาทอักเสบหรือไม่ หรือว่า มีอาการบ่งบอกว่าเป็นโรคอย่างอื่นคะ รบกวน ช่วยให้คำปรึกษาหน่อยค่ะ
ก่อนอื่นเนื่องจากอาการที่เล่ามามีหลายระบบที่ไม่จำเพาะเจาะจงกับโรคใดโรคหนึ่ง หมอขอแนะนำให้พบแพทย์เพื่อให้ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งนะคะ
อาการชาเป็นอาการที่พบได้บ่อยจากความผิดปกติของระบบประสาท ซึ่งความผิดปกตินั้นมีหลากหลายมากต้องอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดจึงจะสามารถระบุสาเหตุได้ ...อาการที่เกิดจากเส้นประสาทอักเสบมักไม่มีอาการชาที่บริเวณใบหน้า ส่วนโรคของเส้นประสาทที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ได้แก่ เส้นประสาทถูกบีบรัด หรือรากประสาทถูกกดทับจากกระดูกสันหลัง/หมอนรองกระดูกสันหลังซึ่งมักจะมีอาการปวดร่วมด้วย อย่างไรก็ดีลักษณะการชาจะมีความแตกต่างกันขึ้นกับผลตรวจร่างกายค่ะ ในกรณีของคนไข้ขอแนะนำพบแพทย์ให้ตรวจอย่างละเอียดจะดีที่สุด
เป็นเบาหวาน และคลอเรสเตอรอลมา สิบกว่าปี ปัจจุบัน อายุ 45 ปี ( ระดับน้ำตาลที่คุม 130-160 พบหมอทุก 2 เดือน) เคยปลายประสาทที่นิ้วชาจน เป็นหนังด้านๆ หนาขึ้นจนลอกเอง ถามหมอๆบอกไม่เป็นอะไรไม่เกี่ยวกับ ปลายประสาทชา เราคิดไปเองให้ วิตามินบีรวมมาทาน ( แต่มีคุณหมอ 2 ท่าน บอกว่าจริงๆแล้วถ้าไปดู การทำงานของยาจะรู้เลยว่าไม่ได้ช่วย ที่ช่วยได้คือต้องเพิ่มขนาดยา แต่พอดีรักษา แบบใช้สิทธิเลยไม่ได้มา ) คำถาม: คือสงสัยว่า อาการที่เป็น ถ้าไม่ใช่ประประสาทชา และคุณหมอบอกว่าเราคิดไปเอง แต่ทำไม ผิวหนังด้านจนลอกเองได้? (ตอนนั้นพอดีมีแฟนเป็น สัตว์แพทย์ และสมัยเรียนเคยทำวิจัยเรื่องโรคเบาหวาน ) เค้าก็งง และไม่ได้ตอบอะไร...
นพ.ชาคริต
1. ผิวหนังด้าน น่าจะเป็นคนละเรื่องกับเส้นประสาทครับ
2.อาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน สามารถทำให้ระบบประสาทส่วนปลายทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการชาหรือเจ็บที่ปลายมือและปลายเท้าได้ การรักษาคือการควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติครับ อาการชาและเจ็บมักเป็นเรื้อรังและหายได้ช้าครับ
แม่เริ่มมีอาการจำอะไรๆๆไม่ค่อยได้ ประมาณเดือนกว่าละไม่จะเริ่มต้นรักษาที่ไหนเพราะพาไปหาลำบากข้อเข่าเสื่อมตอนนี้เดินไม่ได้ น้ำหนัก80โลนอนติดเตียง
แนะนำให้พาไปพบแพทย์ที่ใกล้บ้านที่สุดก่อนก็ได้ค่ะ โดยปกติเบื้องต้นก็ควรจะได้รับการประเมินว่าเป็นเพียงภาวะหลงลืมปกติหรือเข้าข่ายภาวะสมองเสื่อมแล้ว และถึงแม้จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมแล้วก็จะยังมีภาวะสมองเสื่อมบางชนิดที่สามารถรักษาให้หายได้ เช่น ภาวะสมองเสื่องจากการขาดฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งวินิจฉัยได้ง่ายจากการเจาะเลือดตรวจ ภาวะสมองเสื่อมจากการขาดวิตามิน หรือแม้แต่ภาวะสมองเสื่อมจากโรคทางสมองบางชนิดหากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆก็สามารถให้การรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงได้ด้วยค่ะ เช่น ภาวสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือจากการติดเชื้อในระบบประสาทบางชนิด
กรณีนี้สามารถพบอายุรแพทย์ทั่วไปเพื่อประเมินเบื้องต้นก่อนได้ หรือหากต้องการพบแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมโดยเฉพาะ ก็สามารถพบอายุรแพทย์ระบบประสาท, อายุรแพทย์สาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ และจิตแพทย์ได้ค่ะ เลือกที่สามารถพาผู้ป่วยไปพบได้สะดวกที่สุดนะคะ
เกรซ
คือรักษาไมเกรนมาตั้งปี 57ถึงปัจจุบัน แต่เมื่อ 2สัปดาห์ที่แล้วปวดหัวมากถึงขนาดเคลื่อนศีรษะไม่ได้เป็นทั้งสัปดาห์ และสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังปวดศีรษะอยู่ค่ะ อาการดีเป็นระยะก็ยังปวดวันนี้ก็ยังรู้สึกปวดเลยค่ะ
ควรพบแพทย์ครับ
เนื่องจากควรมีการตรวจร่างกายโดยแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่า2สัปดาห์นี้อาการปวดศีรษะเป็นจากไมเกรนหรือเป็นจากสาเหตุอื่นครับ
ผมมีอาการชาที่ปลายนิ้วเท้า โดยเฉพาะบริเวณหัวแม่เท้าข้างขวา รู้สึกคล้ายกับใส่ถุงเท้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อจิกด้วยเล็บแล้วแทนที่จะมีอาการเจ็บตามปกติ แต่กลับรู้สึกเจ็บเล็กน้อยและรู้สึกชาบริเวณที่จิก เดิมทีเป็นเฉพาะแม่เท้าขวา แต่พักหลังมานี้ประมาณ 1เดือนก่อนหน้ารู้สึกว่าจะเริ่มเป็นที่แม่เท้าซ้ายบ้างแล้วครับ ขอสอบถามครับว่า 1. อาการนี้เกิดจากสาเหตุคือโรคปลายประสาทอักเสบรึเปล่าครับ 2. หากปล่อยไว้ ในภายหน้าจะมีความเสี่ยงต่อความเติบโตของโรคอย่างไรบ้างครับ 3. มีวิธีบรรเทาหรือรักษาอาการข้างต้นหรือไม่ครับ ขอบคุณมากครับ
อาการชาที่บริเวณนิ้วเท้าโดยเฉพาะหัวแม่เท้าที่พบบ่อยๆส่วนมากเกิดจากที่เราเดินมากๆ ยืนนานๆ หรือใส่รองเท้าหัวบีบทำให้การกดเบียดเนื้อเยื่อบริเวณปลายนิ้วเท้าให้เกิดการช้ำบวมแล้วไปกดเบียดเส้นประสาทเล็กๆบริเวณปลายเท้าทำให้เกิดอาการชา ลักษณะแบบนี้ก็อาจจะแก้ได้โดยการปรับพฤติกรรม หรือเลือกรองเท้าให้เหมาะสมอาการก็จะดีขึ้น แต่หากมีอาการปวดหลังร่วมด้วยหรือปรับพฤติกรรมข้างต้นแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ก็ควรระมัดระวังสาเหตุจากการเบียดหรือกดทับรากประสาทสันหลังระดับเอวข้อที่5 ซึ่งมักเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ซึ่งกรณีนี้ควรพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัดค่ะ
สวัสดีค่ะ รบกวนสอบถามอาการที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกาย คือ ชาแขนซ้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อเนื่องจากสะบัก ไหล่และคอ เป็นประจำ แต่เมื่อนวดแบบรักษาทุกเดือนก็จะดีขึ้น แต่เมื่อหลายวันก่อน มีอาการหัวใจเต้นเร็วมาก เกือบจะวาย มือเท้าเย็น หลังจากนั้น แขนเริ่มชามากขึ้น และคราวนี้ร้าวถึงคอ ด้านหลังของคอ และขึ้นถึงหัวทั้งด้านหลังสองข้าง พยายามแก้ไขด้วยการกลั้นหายใจให้หัวใจเต้นช้าลง และเอาน้ำร้อนลดความเย็นของมือเท้าลงไป และดมยาดม สัก 5 นาทีก็ดีขึ้น อาการเช่นนี้ จะนำไปสู่โรคอะไรในอนาคตไหมคะ พื้นฐานของการใช้ชีวิตคือ เป็นอาจารย์ สอน+บริหาร ทำงานออฟฟิศใช้ คอมพิวเตอร์ นั่งโต๊ะ และพอจะรู้เลาๆ ว่า ท่านั่งไม่ค่อยดี ก็พยายามค่ะ รบกวนคุณหมอด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
1.อาการชาที่แขน ที่สะบักและไหล่ คอ มักเกิดจากเส้นประสาทหรือไขสันหลังบริเวณคอถูกกดทับ ส่วนน้อยอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่สมองได้
2. อาการหัวใจเต้นเร็ว และชามากขึ้น ลักษณะอาการคล้ายโรคแพนิค (panic disorder) ได้ แต่ควรตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจก่อนครับ เพื่อตรวจให้ละเอียดว่าภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วยหรือไม่
3. ถ้าเป็นเรื่องกระดูกทับเส้นประสาทที่คออาจจะมีอาการชามากขึ้นได้ หรือถ้าเป็นมากอาจจะมีแขนอ่อนแรงมากขึ้นได้ครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอ หนูมีคำถามอยากถามคือ 1. หนูเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบที่เรียกว่าโมยาโมย่า แขนข้างซ้ายมีอาการอ่อนแรง หลังจากผ่าตัดก็ไม่หาย แล้วก็มีคนมาแนะนำให้หนูไปหาพวกหมอจัดกระดูก จับเส้น ฝังเข็ม ซึ่งบางคอสราคาแพงมาก ถึงแสนก็มี อยากทราบว่าจะมีส่วนช่วยอะไรไหมคะวิธีพวกนี้ 2.หนูต้องกินยาแอสไพรินขนาด300มก.ทุกวันแล้วหนูอยากผ่าตัดทำศัลยกรรมตัดไขมันกระพุ้งแก้ม หมอบอกว่าให้หยุดยา2อาทิตย์ อยากทราบว่าหนูสามารถหยุดยาตามเวลานั้นได้ไหมคะ อยากทำจริงๆแต่ก็ไม่เคยหยุดยานานๆสักที
1. การรักษาด้วยวิธีที่ว่ามาถือเป็นการรักษาทางเลือก ไม่รวมอยู่ในแผนการรักษาตามมาตรฐานสากล ซึ่งหมายความว่าไม่มีข้อมูลจากการศึกษาอย่างชัดเจนทั้งในแง่ของประโยชน์และที่สำคัญคือโทษ ยิ่งมีราคาที่แพงมากด้วยแล้ว ก็อยากแนะนำว่าให้ยึดตามการรักษาที่เป็นมาตรฐานสากลจะดีกว่าค่ะ
2.ยาแอสไพริน ถือเป็นยาต้านเกล็ดเลือด โดยปกติจะไม่แนะนำให้หยุดเพราะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเส้นเลือดสมองอุดตันซ้ำได้ และความเสี่ยงจากการเกิดเลือดออกก็น้อยมากในการผ่าตัดที่ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ แต่ถ้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องหยุด ระยะเวลาที่แนะนำคืออย่างน้อย 7 วันก่อนผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นกับแพทย์ผู้ผ่าตัดจะพิจารณาด้วยว่าการผ่าตัดนั้นๆจำเป็นจริงๆที่จะต้องหยุดยาต้านเกล็ดเลือดหรือไม่เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดสมองอุดตันซ้ำค่ะ
สำเร็จ